หน้าแรก / บทความที่น่าสนใจ
อิตาลี 1 ในประเทศที่ติดอันดับด้านสาธารณสุขที่ดียอดเยี่ยมและสุขภาพประชาชนอยู่ในอันดับต้นๆของโลก ตอนนี้กลับเจอสถานการณ์ที่เลวร้ายจากเชื้อ COVID-19 ที่กำลังกัดกินบั่นทอนทั้งสุขภาพ จิตใจ เศรษฐกิจ ของประเทศรวมถึงโลกนี้
โดยอิตาลีได้โดดขึ้นมาเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้นำจากความเสียหายของโลกนี้ที่ปัจจุบันวันที่เขียน ผู้เสียชีวิตมีจำนวนรวมอยู่ที่ 4800 เศษๆ ผู้ติดเชื้อยอดรวมสะสม 53,000 กว่าราย เป็นรองแค่เจ้าภาพอย่างจีนที่เป็นต้นเชื้อเพียงเท่านั้น หลายๆคนเรียกสถานการณ์ในอิตาลีแบบนี้ว่า "ป่วยจนล้นโรงพยาบาล ตายจนล้นสุสาน"
ทำไมประเทศที่ดูพร้อมไปหมดทั้งเศษฐกิจ เงิน ระบบสุขภาพถึงถูกรุกรานจาก COVID-19 นี้จนเสียหาย ทั้งๆที่ไม่ใช่ต้นทางอย่างประเทศจีน หรือ เพื่อนบ้านใกล้เคียงแบบญี่ปุ่น เกาหลี ที่เสียหายหนักจนร่วมกลุ่มผู้นำในปัจจุบัน
จุดเริ่มต้นหายนะ
ย้อนกลับไปจุดเริ่มต้นระบาดของโรค COVID-19 ที่พึ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่อปลายปี 2019 จนเข้าสู่ช่วง มกราคม 2020 ก็พบการระบาดไปในหลายๆประเทศ แต่ตอนนั้นอิตาลียังไม่มีชื่อเข้าทำเนียบผู้ติดเชื้อกับเขา แต่พอเมื่อวันที่ 21 ก.พ. 2020 ประเทศอิตาลีได้พบผู้ติดเชื้อรายแรก ในเมืองโคโคญโญ แคว้นลอมบาร์เดีย ทางภาคเหนือของอิตาลี เป็นชายอายุ 38 ปีเขาเข้ามารักษาเนื่องจากมีอาการคล้ายไข้หวัด แต่กว่าจะรู้ตัวก็พบว่า แพทย์ พยาบาล ภรรยา ผู้ป่วยคนอื่นๆ ได้ติดเชื้อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ด้านนักวิเคราะห์ระบุว่าจริงๆแล้วเชื้อได้เข้ามาอิตาลีตั้งแต่ปลายเดือน ม.ค. รวมถึงการที่ชายรายที่1ของอิตาลีไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศมาก่อน จึงทำให้น่าคิดว่าแล้วรายที่ 0 นั้นคือใคร และจากรายที่ 1 เพียงเท่านั้นผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตของอิตาลีก็พุ่งสูงแบบก้าวกระโดด จนถูกเรียกว่า "จีนรายใหม่"
ทำไม? อิตาลีถึงติดเชื้อแล้วถึงยอดตายพุ่งสูง
การแซงหน้าของยอดติดเชื้อและตายของอิตาลีทำไมถึงพุ่งสูงแซงผู้นำในทุกประเทศ ยกเว้นเจ้าภาพอย่างจีน นักวิเคราะห์ระบุไว้ว่าจากการที่โรคนี้ค่าเฉลี่ยผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่จะเป็นผู้สูงอายุ จากอายุมัธยฐาน (median age) ของประชากรอิตาลีทั้งหมดอยู่ที่ 45.4 ปี นับว่าสูงกว่าชาติยุโรปอื่นๆ สูงกว่าอายุมัธยฐานของคนจีนราว 7 ปี และสูงกว่าอายุมัธยฐานของคนเกาหลีใต้เล็กน้อย
อายุเฉลี่ยของผู้เสียชีวิตด้วยโควิด-19 ในอิตาลีอยู่ที่ 78.5 ปี ผู้เสียชีวิตเหล่านี้เกือบ 99 เปอร์เซ็นต์มีโรครุมเร้าอยู่แล้วอย่างน้อย 1 โรค อัตราการตายของผู้ติดเชื้อจึงค่อนข้างสูง คือ 8.6 เปอร์เซ็นต์
อย่างไรก็ดี มีคนแย้งว่า ประชากรชาวญี่ปุ่นมีอายุมัธยฐานอยู่ที่ 47.3 ปี ซึ่งสูงกว่าชาวอิตาลีเสียอีก แต่ญี่ปุ่นมีคนตายด้วยโรคนี้แค่ 36 ราย ฉะนั้น อายุคงไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่จะอธิบายกรณีของอิตาลีได้
อีกปัจจัยที่ถูกหยิบมาใช้อธิบายก็คือ ระบบสาธารณสุขของอิตาลีถึงจุดอิ่มตัว รองรับผู้ติดเชื้อไม่ไหวแล้ว เมื่อจำนวนผู้ติดเชื้อพุ่งสูงปรี๊ดทำสถิติใหม่เป็นรายวัน จึงเกิดสภาพเตียงผู้ป่วยมีไม่พอ เครื่องช่วยหายใจมีไม่พอ กระทั่งหมอต้องตัดสินใจเลือกให้การรักษาคนที่มีโอกาสรอดสูงเป็นอันดับแรก
และอีกปัจจับหนึ่งคือ โดยทั่วไปประชาชนชาวอิตาลีมักชอบกิจกรรมกลางแจ้งเป็นอย่างมาก เป็นคนรักสนุก เฮฮา และปฎิสัมพันธ์กันแบบถึงเนื้อถึงตัวเสมอ การกอด การจูบ เป็นต้น นี่จึงเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้คนอิตาลีติดเชื้อกันเยอะ
การควบคุมที่ผิดพลาดทำให้โรคเริ่มบานปลาย
เมื่อเกิดปัญหาแล้วอีกสิ่งหนึ่งที่ผิดพลาดคือการตอบสนองของรัฐบาล การสื่อสารที่ขัดแย้งกันเองของฟากรัฐ และความพะวงในการคุมเข้ม จนกระทบการควบคุมโรค
ย้อนไปเมื่อ 23 ก.พ. แคว้นลอมบาร์ดีเริ่มนำมาตรการปิดเมืองมาใช้ นายกรัฐมนตรี ยูเซปเป กอนเต โอ่ว่า เขากล่าวว่า อิตาลีควบคุมการระบาดอย่างเข้มงวด แต่เหตุที่มีตัวเลขผู้ติดเชื้อสูงก็เพราะมีการตรวจหาเชื้อแบบหว่านแห คนไม่มีอาการยังได้รับการตรวจ ขอให้มั่นใจได้ว่าอิตาลีเป็นประเทศที่ปลอดภัย อาจปลอดภัยกว่าหลายๆ ประเทศเสียอีก
รวมถึงรัฐมนตรีต่างประเทศ ลุยจี ดิ มาโย พูดตำหนิการเสนอข่าวของสื่อมวลชนในระหว่างการแถลงที่กรุงโรมเมื่อ 27 ก.พ. ว่า “ในอิตาลี เราก้าวเลยจากโรคระบาดเป็นข้อมูลระบาดไปแล้ว ชาวอิตาเลียนที่ถูกกักกันโรคมีแค่ 0.089 เปอร์เซ็นต์แค่นั้นเอง”
เมื่อเห็นรัฐบาลกลางพยายามกลบเกลื่อนความร้ายแรงของสถานการณ์ ผู้ว่าการแคว้นลอมบาร์ดี อัตตีลิโอ ฟอนตานา ออกมาตำหนิว่า รัฐบาลกรุงโรมกำลังส่งสัญญาณผิดๆ ทำให้ประชาชนคิดว่า ทุกอย่างเป็นเรื่องเล่นๆ ทุกคนจึงยังคงใช้ชีวิตแบบเดิม พร้อมกับบ่นว่า ในการประชุมทางไกลกับนายกรัฐมนตรี เขาร้องขอรัฐบาลให้เพิ่มมาตรการเข้มข้นขึ้นไปอีก แต่รัฐบาลไม่ขานรับ “พวกเขากลัวเศรษฐกิจจะเสียหาย”
แต่เมื่อยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มเป็น 7,375 คน ยอดเสียชีวิตเพิ่มเป็น 366 ราย ในวันที่ 8 มีนาคม นายกฯ กอนเตเปิดแถลงข่าวตอนตีสอง สั่งปิดเมืองต่างๆ ครอบคลุมประชากรราวหนึ่งในสี่ของภาคเหนือ ซึ่งเป็นเขตเศรษฐกิจสำคัญ
อย่างไรก็ดี คำสั่งนี้ในทางปฏิบัติเป็นการปิดเมืองแบบครึ่งๆ กลางๆ ผู้คนรู้สึกงุนงงว่า ที่ว่าปิดนั้นกินความแค่ไหน อย่างไร กระทรวงมหาดไทยออกมาขยายความว่า คนที่ได้รับอนุญาตให้ออกจากบ้านคือ คนที่ต้องไปทำงาน ต้องไปหาหมอ หรือ “มีเหตุจำเป็นอื่นๆ” ขณะเดียวกัน บรรดารัฐบาลท้องถิ่นออกแนวปฏิบัติผิดแผกกัน บางท้องถิ่นกำหนดให้คนที่เดินทางเข้าออกพื้นที่ที่มีมาตรการปิดเมืองต้องกักตัวเอง บางท้องถิ่นไม่มีข้อกำหนดนี้
วันรุ่งขึ้น 9 มีนาคม ผู้ติดเชื้อเพิ่มเป็น 9,172 คน ผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 463 ราย นายกฯ กอนเตสั่งยกระดับมาตรการเป็นปิดเมืองทั่วทั้งประเทศ นี่จึงเป็นบทเรียนให้เห็นว่าการควบคุมสื่อสารที่ผิดพลาด อาจทำให้ปัญหาบานปลายใหญ่หลวงได้ อย่างไรก็ดี ถึงตอนนี้ผู้เชี่ยวชาญบางรายบอกว่า อิตาลีได้สายเกินการณ์แล้ว.
ปัญหาที่ลดลง คือสิ้นสุดวิกฤตแล้วหรือไม่
ล่าสุดดูเหมือนสถานการณ์การติดเชื้อและเสียชีวิตในอิตาลี แม้จะมีจำนวนที่เยอะอยู่แต่หากคิดเป็นเปอร์เซ็นน์จากสถิติแต่ละวันที่แล้วมา ดูเหมือนว่าจะมีแนวโน้มที่ลดลง จนทำให้เป็นความหวังใหม่ที่ว่า หากสถิติแต่ละวังจะมีทิศทางที่ลดลงอย่างต่อเนื่องฟ้าวันใหม่ของชาวอิตาลีคงจะอยู่ไม่ไกล แต่การเดินทางระหว่างไปถึงท้องฟ้าผืนนั้น ยังมีผู้บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก จึงเป็นความภาคภูมิใจที่ไม่น่ายืดอกหากมองย้อนไปข้างหลังแล้วนึกได้ว่า หากที่ผ่านมาเราได้ป้องกันดีกว่านี้ผู้ที่เสียชีวิตอาจจะไม่กองสุมเยอะเท่านี้ก็เป็นได้
เมื่อมองอิตาลีแล้วย้อนนึกถึงไทยเราสภาวะตอนนี้เราคล้ายดั่งอิตาลีช่วงเริ่มระบาด การสื่อสารที่ยังมึนงง ประชาชนหลายคนที่ยังไม่หวั่นเกรง เราคงได้แต่ภาวนาว่าบทเรียนจากอิตาลีจะสอนให้คนไทยรับทราบแล้วป้องกันหาหนทางที่ไม่เป็นดั่งอิตาลีในวันนี้