หน้าแรก / ข่าวสาร
ราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่งขึ้นเกือบ 20% หลังเกิดเหตุโจมตีบ่อน้ำมัน และโรงกลั่นน้ำมันขนาดใหญ่ที่สุดในโลกของซาอุดีอาระเบียเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ปริมาณการผลิตน้ำมันโลกหายไปกว่า 5%
ในการเปิดตลาดซื้อขายวันแรกของสัปดาห์หลังจากการถูกโจมตีวันที่ 16 ก.ย. 2562 ราคาน้ำมันดิบเบรนท์พุ่งขึ้น 19% ไปอยู่ที่ 71.95 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลในการซื้อขายช่วงหนึ่ง ซึ่งถือเป็นการปรับตัวสูงขึ้นที่สุดในรอบ 4 เดือน ขณะที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดเวสต์เท็กซัสก็เพิ่มขึ้น 15%
แต่หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ได้สั่งการให้มีการปล่อยน้ำมันสำรองของสหรัฐฯ ออกมาสู่ท้องตลาด ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ได้ปรับลงมาอยู่ที่ราว 66.64 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบในตลาดเวสต์เท็กซัสปรับลงมาอยู่ที่ 9.5% โดยมีราคาอยู่ที่ 60.06 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เกิดอะไรขึ้น
เมื่อช่วงเช้าตรู่ของวันเสาร์ที่ 14 ก.ย. 2562 ได้เกิดเหตุฝูงโดรนโจมตีแหล่งผลิตน้ำมัน 2 แห่งของซาอุดีอาระเบีย คือ โรงกลั่นน้ำมันอับไคก์ ซึ่งเป็นโรงกลั่นใหญ่ที่สุดของบริษัทอารัมโก บริษัทน้ำมันแห่งชาติของซาอุดีอาระเบีย ส่วนอีกแห่งเป็นการโจมตีบ่อน้ำมันในเมืองคูไรส์ ซึ่งเป็นบ่อขุดเจาะน้ำมันใหญ่อันดับ 2 ของประเทศ
เหตุโจมตีทั้งสองจุดทำให้เกิดเพลิงไหม้รุนแรงและต้องหยุดการผลิตน้ำมันลงชั่วคราว สื่อท้องถิ่นของซาอุดีอาระเบียระบุว่า ขณะนี้สามารถควบคุมเพลิงทั้ง 2 แห่งได้แล้ว
หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัล รายงานว่า การโจมตีดังกล่าวทำให้ซาอุดีอาระเบียต้องหยุดการผลิตน้ำมันลงครึ่งหนึ่งของปริมาณการผลิตตามปกติ ผู้เชี่ยวชาญคาดว่าจะต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าที่โรงกลั่นจะกลับมาผลิตน้ำมันป้อนตลาดโลกได้เต็มประสิทธิภาพอีกครั้ง ใครทำ
โฆษกกลุ่มกบฏฮูธีในเยเมน ซึ่งอิหร่านหนุนหลัง ออกมาประกาศว่าเป็นผู้ส่งโดรนทั้ง 10 ลำไปก่อเหตุโจมตีครั้งนี้ พร้อมชี้ว่าเป็นหนึ่งในปฏิบัติการโจมตีครั้งใหญ่ที่สุดในซาอุดีอาระเบียของกลุ่ม โดย "ได้รับความร่วมมือจากผู้ทรงเกียรติในประเทศ"
ด้านนายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวหาว่า รัฐบาลอิหร่านอยู่เบื้องหลังเหตุโจมตีนี้ เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ที่ขอสงวนนามหลายคน ให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนว่า รูปการณ์และความเสียหายที่รุนแรง ทำให้เกิดข้อกังขาว่าเหตุโจมตีนี้เป็นฝีมือของกลุ่มกบฏฮูธี แต่อิหร่านออกมาปฏิเสธ พร้อมกล่าวหาว่าสหรัฐฯ "กล่าวความเท็จ"
ในเวลาต่อมา ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ทวีตข้อความว่า สหรัฐฯ รู้ดีว่าใครคือตัวการก่อเหตุและ "เตรียมพร้อม" จัดการเรื่องนี้ แต่กำลังรอฟังทางการซาอุดีอาระเบียว่าจะดำเนินการเรื่องนี้อย่างไร ด้านทางการซาอุดีอาระเบียยังไม่ได้ระบุว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุโจมตีครั้งนี้ ตลาดโลกจะได้รับผลกระทบอย่างไร
ทางการซาอุดีอาระเบียเปิดเผยข้อมูลเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับเหตุโจมตีที่เกิดขึ้น โดยนอกจากจะระบุเพียงว่าไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้แล้ว ก็ไม่ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการผลิตน้ำมันในประเทศ
เจ้าชายอับดุลาซิส บิน ซัลมาน รัฐมนตรีพลังงานของซาอุดีอาระเบีย ระบุว่า จะแก้ปัญหาปริมาณการผลิตน้ำมันที่ลดลง ด้วยการนำน้ำมันสำรองที่เก็บไว้ตามคลังขนาดใหญ่ในประเทศมาทดแทน
ซาอุดีอาระเบีย เป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลก โดยมีส่งออกน้ำมันไปขายยังต่างประเทศวันละกว่า 7 ล้านบาร์เรล ข้อมูลจากทางการชี้ว่า ปริมาณน้ำมันสำรองของซาอุดีอาระเบียเมื่อเดือน มิ.ย.อยู่ที่ 188 ล้านบาร์เรล
นายอภิเษก กุมาร หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์จาก Interfax Energy บริษัทผู้ให้บริการวิเคราะห์ข้อมูลด้านพลังงานที่มีสำนักงานในกรุงลอนดอน กล่าวว่า "ความเสียหายที่แหล่งผลิตน้ำมันอับไคก์ และในเมืองคูไรส์ ดูเหมือนจะกินวงกว้างและรุนแรง ซึ่งอาจต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าการผลิตน้ำมันจะกลับคืนสู่ภาวะปกติ" ผู้ใช้น้ำมันจะได้รับผลกระทบอย่างไร
น.ส.อานีกา กุปตา ผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดสินค้าโภคภัณฑ์จาก Wisdom Tree บริษัท ผู้จัดการกองทุนระบุว่า ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอาจยังไม่ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคในทันที เพราะอาจต้องใช้เวลาระยะหนึ่งจึงจะเห็นผลที่ชัดเจน
อย่างไรก็ตามเธอชี้ว่า หากปัญหาขาดแคลนน้ำมันยืดเยื้อออกไปเกิน 6 สัปดาห์ ก็จะทำให้ราคาน้ำมันพุ่งทะลุระดับ 75 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลได้
ขณะที่ ศาสตราจารย์ นิค บัตเลอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายพลังงานระหว่างประเทศ ระบุว่า ผู้ใช้รถจะยังไม่ได้เห็นราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นตามปั๊มน้ำมัน "ผลกระทบโดยตรงการเหตุโจมตีครั้งนี้อาจมีขึ้นในระยะสั้น ๆ"
"ตลาดโลกสามารถปรับตัวได้โดยไม่มีปัญหาในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จากการที่ปริมาณน้ำมันในตลาดโลกที่ผลิตโดยเวเนซุเอลาและอิหร่านหายไปวันละกว่า 2 ล้านบาร์เรล จากเหตุผลทางการเมือง" ซาอุดีอาระเบีย และ สหรัฐฯ มีน้ำมันสำรองเท่าใด
ข้อมูลจากกระทรวงพลังงานของสหรัฐฯ ระบุว่า ปริมาณน้ำมันสำรองในประเทศจนถึงวันที่ 6 ก.ย. อยู่ที่ 644.8 ล้านบาร์เรล นอกจากนี้ สำนักงานข้อมูลด้านพลังงานของสหรัฐฯ ระบุว่าในประเทศยังมีน้ำมันในแหล่งสำรองของเอกชนอยู่ราว 416.1 ล้านบาร์เรล ส่วนในซาอุดีอาระเบีย เหตุโจมตีทำให้ปริมาณการผลิตน้ำมันลดลงมาอยู่ที่วันละ 5.7 ล้านบาร์เรล บริษัท Rapidan Energy Group ผู้ให้บริการปรึกษาด้านพลังงานระบุว่า ประเทศมีปริมาณน้ำมันสำรองอยู่ราว 188 ล้านบาร์เรล
ที่มา : bbc